top of page

Disinformation Security: เทคโนโลยีรับมือกับข้อมูลเท็จในยุคดิจิทัล

  • รูปภาพนักเขียน: ดร.นิพนธ์ นาชิน, CISSP, CISA, CISM, GPEN, QSA, CCISO, CDMP
    ดร.นิพนธ์ นาชิน, CISSP, CISA, CISM, GPEN, QSA, CCISO, CDMP
  • 17 พ.ค.
  • ยาว 1 นาที

Disinformation Security: เทคโนโลยีรับมือกับข้อมูลเท็จในยุคดิจิทัล
Disinformation Security: เทคโนโลยีรับมือกับข้อมูลเท็จในยุคดิจิทัล

Disinformation Security คืออะไร?

Disinformation Security คือชุดเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับการแพร่กระจายข้อมูลเท็จ (Disinformation) ช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ปกป้องแบรนด์ และรักษาความปลอดภัยในการแสดงตัวตนออนไลน์ เทคโนโลยีในกลุ่มนี้ครอบคลุมการตรวจจับ Deepfake การป้องกันการปลอมแปลงตัวตน และการปกป้องชื่อเสียง

ปัจจุบัน Disinformation Security กำลังเป็นเทคโนโลยีที่กำลังเติบโต โดยมีการคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตในตลาดเป้าหมายประมาณ 5% ถึง 20% และจะใช้เวลาประมาณ 2-5 ปี เพื่อเข้าสู่ช่วงเสถียร


ทำไม Disinformation Security จึงสำคัญในปัจจุบัน?

ข้อมูลเท็จสามารถหลอกลวงหรือทำให้ผู้ชมเข้าใจผิดด้วยข้อมูลที่ถูกปลอมแปลงหรือบิดเบือนบริบทสำคัญ ผู้ไม่หวังดีมักใช้เนื้อหาที่เป็นข้อมูลเท็จเพื่อ:

  • บิดเบือนความคิดของผู้บริโภค

  • ก่อการฉ้อโกง

  • สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กร

ในยุคปัจจุบัน การเข้าถึงซอฟต์แวร์ AI แบบสร้างสรรค์ (Generative AI) ที่สามารถผลิต Deepfake ที่สมจริงและน่าเชื่อถือมีมากขึ้นกว่าที่เคย Disinformation Security จึงมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้โดยผสมผสานเทคโนโลยีหลายอย่างเข้าด้วยกันเพื่อการตรวจสอบความน่าเชื่อถืออย่างเป็นระบบ


ผลกระทบต่อธุรกิจ

ข้อมูลเท็จสามารถถูกใช้เป็นอาวุธที่มุ่งเป้าโจมตีองค์กรได้ แคมเปญข้อมูลเท็จสามารถถูกนำมาใช้อย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของแบรนด์ โดย:

  • ลดทอนหรือบิดเบือนภาพลักษณ์แบรนด์

  • นำไปสู่การสูญเสียรายได้

  • เป็นเครื่องมือในการฉ้อโกงองค์กร


ข้อมูลเท็จส่งผลกระทบต่อหลายฝ่ายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็น:

  • ผู้บริหารระดับสูง

  • ทีมความปลอดภัย

  • ฝ่ายประชาสัมพันธ์

  • การตลาด

  • การเงิน

  • และฝ่ายขาย

นี่ทำให้ Disinformation Security กลายเป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยขององค์กร


ปัจจัยขับเคลื่อน Disinformation Security

โซลูชั่น Disinformation Security กำลังเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นและการโจมตีด้วยข้อมูลเท็จที่พบบ่อยขึ้น ตัวอย่างเช่น:

  • ผู้ก่อภัยคุกคามภายนอกมุ่งเป้าโจมตีองค์กรด้วยข้อมูลเท็จเพื่อวัตถุประสงค์ทางอุดมการณ์ เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีทางไซเบอร์ และเพื่อก่อการฉ้อโกง

  • การพัฒนาอย่างรวดเร็วใน AI แบบปฏิปักษ์ (Adversarial AI) ทำให้การแยกแยะความถูกต้องของเนื้อหามัลติมีเดียยากขึ้นเรื่อยๆ

  • วิดีโอ Deepfake แพร่กระจายในโซเชียลมีเดียด้วยข้อมูลเท็จ โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models) ร่วมกับเทคโนโลยีโคลนเสียงจาก Generative AI สามารถสร้างเนื้อหาข้อมูลเท็จที่น่าเชื่อถือได้อย่างรวดเร็ว

  • ทีมความปลอดภัยตระหนักมากขึ้นว่าการป้องกันเชิงรุกจำเป็นต้องมองไกลกว่าโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะและส่วนตัวขององค์กร การโจมตีด้วยข้อมูลเท็จมักใช้โครงสร้างพื้นฐานที่องค์กรไม่ได้จัดการ จากสถานที่ที่ซับซ้อนซึ่งยากต่อการป้องกันเชิงรุก การลบ และการตอบสนองของทีมกฎหมาย

  • ทีมการตลาดและประชาสัมพันธ์ตระหนักถึงความจำเป็นในการทำความเข้าใจความรู้สึกและเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบๆ ผลิตภัณฑ์ บริการ แบรนด์ และผู้บริหารขององค์กร

  • องค์กรต้องการลายน้ำดิจิทัลและการควบคุมเชิงรุกอื่นๆ สำหรับระบบติดฉลากเนื้อหาเพื่อระบุเนื้อหาที่ถูกต้อง เนื้อหาที่ถูกปรับแต่ง และเนื้อหาที่สร้างโดย Generative AI ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

อุปสรรคในการใช้ Disinformation Security

แม้จะมีความสำคัญมาก แต่ Disinformation Security ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:

  • องค์กรจำนวนมากยังคงพยายามทำความเข้าใจและประเมินความเสี่ยงที่เกิดจากข้อมูลเท็จ การพัฒนาแผนความปลอดภัยเชิงรุกยังคงเป็นแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นในตลาด

  • เทคโนโลยีป้องกันในหมวดหมู่นี้กำลังเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม กระแสตลาดที่เติบโตอาจทำให้กลยุทธ์ขององค์กรในการต่อสู้กับข้อมูลเท็จเกิดความสับสนและซับซ้อน

  • มาตรฐานใหม่ที่ใช้ในการติดฉลากและระบุเนื้อหาที่สร้างโดย Generative AI ทางออนไลน์อย่างเชิงรุก เช่น มาตรฐานจาก Coalition for Content Provenance and Authenticity (C2PA) ยังอยู่ในขั้นตอนการจัดทำ การนำไปใช้อย่างแข็งแกร่งและน่าเชื่อถือจะต้องใช้เวลา

  • การรับรู้และความรับผิดชอบขององค์กรต่อความปลอดภัยด้านข้อมูลเท็จยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งทำให้การตอบสนองในกรณีวิกฤตยิ่งซับซ้อนและล่าช้า


คำแนะนำสำหรับองค์กร

เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจากข้อมูลเท็จ องค์กรควรพิจารณาดำเนินการดังนี้:

  1. นำเทคโนโลยีตรวจจับ Deepfake มาใช้ - เทคโนโลยีที่ผสมผสานเทคนิคและวิธีปฏิบัติด้าน AI ที่หลากหลาย (รวมถึง Generative AI) และความสามารถด้านนิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัลเพื่อแยกแยะความจริงจากสิ่งปลอมแปลงอย่างเป็นระบบ

  2. ใช้เทคโนโลยีป้องกันการปลอมแปลงตัวตน - ประเมินพฤติกรรมผู้ใช้อย่างครอบคลุมในทุกอุปกรณ์และการโต้ตอบเพื่อตรวจสอบการกระทำที่แท้จริงและป้องกันการปฏิเสธความรับผิดชอบ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบไบโอเมตริกที่เกี่ยวข้องกับใบหน้าหรือเสียงมีความสามารถในการตรวจจับความมีชีวิต (Liveness Detection) สำหรับพนักงาน ลูกค้า ซัพพลายเออร์ และผู้รับเหมา

  3. สร้างและดำเนินกลยุทธ์การป้องกันเชิงรุก - ปกป้องชื่อเสียงขององค์กรจากผู้ก่อภัยคุกคามภายนอกโดยการตรวจสอบระบบ เครื่องมือ และโครงสร้างพื้นฐานที่ผู้ไม่หวังดีอาจใช้อย่างต่อเนื่อง

  4. ต่อสู้กับข้อมูลเท็จโดยการสร้างทีมและกลยุทธ์ข้ามสายงาน - ทีมความปลอดภัยสารสนเทศจะยังคงรับผิดชอบในการจัดการและบริหารเครื่องมือที่ใช้ในการระบุและตรวจจับข้อมูลเท็จที่ส่งผลกระทบต่อองค์กร ในขณะที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์และการสื่อสารทางการตลาดควรจัดการประกาศภายนอกและกลยุทธ์การสื่อสาร


สรุป

ในโลกดิจิทัลที่ข้อมูลเท็จแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว Disinformation Security กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่องค์กรต้องให้ความสำคัญ การลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงแค่ปกป้องชื่อเสียงและแบรนด์ขององค์กรเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ในยุคที่การแยกแยะข้อเท็จจริงจากข้อมูลเท็จกลายเป็นเรื่องท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ


เนื่องจาก Disinformation Security เป็นเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตและคาดว่าจะใช้เวลา 2-5 ปีเพื่อเข้าสู่ช่วงเสถียร องค์กรที่เริ่มเตรียมตัวและลงทุนในโซลูชั่นเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะมีความได้เปรียบในการรับมือกับภัยคุกคามที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การสร้างกลยุทธ์ที่ครอบคลุมโดยรวมทีมจากหลายฝ่ายจะช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อการโจมตีด้วยข้อมูลเท็จได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 
 
bottom of page