CTI คืออะไร? คู่มือฉบับเริ่มต้นสำหรับผู้ที่อยากเข้าใจ Cyberthreat Intelligence
- Kasidet Khongphuttikun

- 6 ต.ค.
- ยาว 2 นาที

Cyberthreat Intelligence (CTI) คืออะไร?
Cyberthreat Intelligence (CTI) หรือ ข่าวกรองภัยคุกคามทางไซเบอร์ คือข้อมูลเกี่ยวกับผู้ไม่หวังดีที่พยายามโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กร โดยข้อมูลเหล่านี้ผ่านการวิเคราะห์และคัดกรองมาแล้ว ไม่ใช่ข้อมูลดิบๆ ที่ไม่สามารถนำไปใช้ได้
เปรียบเทียบให้เห็นภาพ:
ข้อมูลดิบ: รายชื่อ IP address ที่น่าสงสัย 10,000 รายการ (ใช้ไม่ได้จริง)
CTI: IP address 50 รายการที่กำลังโจมตีองค์กรในอุตสาหกรรมเดียวกับคุณในช่วง 7 วันที่ผ่านมา พร้อมวิธีการโจมตีและแนวทางป้องกัน (นำไปใช้ได้ทันที)
CTI ตอบคำถามสำคัญ 4 ข้อ:
ใคร - กลุ่มผู้โจมตีคือใคร (แฮกเกอร์มืออาชีพ, คู่แข่ง, หรือกลุ่มอาชญากร)
ทำไม - เป้าหมายคืออะไร (เงิน, ข้อมูล, หรือทำลายชื่อเสียง)
อย่างไร - ใช้วิธีการโจมตีแบบไหน (ส่ง email หลอกลวง, ใช้ช่องโหว่ในระบบ)
เมื่อไหร่ - มีแนวโน้มจะโจมตีเมื่อไหร่ (หลังเปิดตัวสินค้าใหม่, ช่วงวันหยุด)
CTI ทำงานอย่างไร?
CTI ทำงานผ่าน 6 ขั้นตอนหลัก:
ขั้นที่ 1: วางแผนและกำหนดความต้องการ
องค์กรต้องระบุว่าต้องการรู้อะไร เช่น:
ธนาคารอยากรู้เกี่ยวกับกลุ่มที่โจมตีสถาบันการเงิน
โรงงานอยากรู้ช่องโหว่ในระบบควบคุมเครื่องจักร
ห้างสรรพสินค้าอยากรู้เกี่ยวกับการโจมตีระบบชำระเงิน
ขั้นที่ 2: เก็บรวบรวมข้อมูล
เก็บข้อมูลจากแหล่งต่างๆ:
เว็บไซต์ทั่วไป - ข่าวการโจมตีล่าสุด
โซเชียลมีเดีย - บัญชีปลอมที่แอบอ้างองค์กร
Dark Web - ตลาดมืดที่มีการซื้อขายข้อมูลรั่วไหล
ระบบภายใน - log files จากระบบรักษาความปลอดภัย
ขั้นที่ 3: ประมวลผล
กรองข้อมูลเฉพาะที่เกี่ยวข้อง เช่น:
มีคนพยายามล็อกอินเข้าระบบจากประเทศที่ไม่ได้ทำธุรกิจด้วย
พบข้อมูลพนักงานรั่วไหลใน Dark Web
มี IP address น่าสงสัยพยายามเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์
ขั้นที่ 4: วิเคราะห์
เชื่อมโยงข้อมูลเพื่อเข้าใจภาพรวม:
กลุ่มผู้โจมตี A มักโจมตีธนาคารด้วยวิธี X
หลังจากซื้อข้อมูลรหัสผ่านใน Dark Web มักมีการโจมตีภายใน 7 วัน
ช่องโหว่ Y ถูกใช้โจมตีจริงในธุรกิจเดียวกันแล้ว 15 ครั้ง
ขั้นที่ 5: แจกจ่ายข้อมูล
ส่งข้อมูลให้คนที่เกี่ยวข้อง:
ผู้บริหาร - รายงานสรุปภาพรวมความเสี่ยง
ทีม IT - รายละเอียดทางเทคนิคเพื่อป้องกัน
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ - แจ้งเตือนบัญชีปลอมที่แอบอ้าง
ขั้นที่ 6: ประเมินผล
ตรวจสอบว่า CTI ช่วยป้องกันได้จริงหรือไม่:
ป้องกันการโจมตีได้กี่ครั้ง
ลดเวลาตอบสนองได้เท่าไหร่
ต้องปรับปรุงอะไรบ้าง
CTI เหมาะกับใครบ้าง?
องค์กรที่ควรใช้ CTI:
1. ธนาคารและสถาบันการเงิน
เป้าหมายหลักของกลุ่มอาชญากรเพราะมีเงินและข้อมูลการเงิน
ต้องรู้เทคนิคการโจมตีล่าสุดเพื่อป้องกันทันที
2. โรงพยาบาลและองค์กรสาธารณสุข
เก็บข้อมูลผู้ป่วยที่ละเอียดอ่อน
ระบบไม่สามารถหยุดทำงานได้ ทำให้เป็นเป้าหมาย ransomware
3. หน่วยงานรัฐ
มีข้อมูลประชาชนจำนวนมาก
อาจเป็นเป้าหมายจากกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐต่างประเทศ
4. บริษัทเทคโนโลยีและอีคอมเมิร์ซ
เก็บข้อมูลลูกค้าและข้อมูลบัตรเครดิต
ถูกโจมตีบ่อยเพื่อขโมยข้อมูลไปขาย
5. โรงงานและอุตสาหกรรมการผลิต
ระบบควบคุมเครื่องจักรที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
การหยุดการผลิตสร้างความเสียหายมหาศาล
6. SMEs (ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก)
มักคิดว่าเล็กเกินกว่าจะถูกโจมตี (แต่จริงๆ ถูกโจมตีมาก เพราะป้องกันน้อย)
ใช้ CTI แบบพื้นฐานช่วยลดความเสี่ยงได้
CTI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันอย่างไร?
1. ป้องกันแบบเชิงรุก แทนที่จะรอถูกโจมตี
แบบเดิม (ไม่มี CTI):
รอจนถูกโจมตี → แก้ไข → เสียหายแล้ว
แบบใหม่ (มี CTI):
รู้ก่อนว่ากำลังมีการโจมตีอุตสาหกรรมเดียวกัน → เตรียมป้องกัน → ไม่เกิดความเสียหาย
ตัวอย่างจริง: ธนาคาร A ใช้ CTI ทราบว่ามีกลุ่มแฮกเกอร์กำลังโจมตีธนาคารในภูมิภาคด้วยช่องโหว่ใหม่ จึงรีบแพตช์ระบบก่อน 2 สัปดาห์ เมื่อถูกโจมตีจริง ระบบป้องกันได้สำเร็จ
2. จัดลำดับความสำคัญได้อย่างชาญฉลาด
ปัญหา: ระบบมีช่องโหว่ 500 รายการ แก้ไขไม่ทันหมด
วิธีแก้ด้วย CTI:
ช่องโหว่ 50 รายการกำลังถูกใช้โจมตีจริง → แก้ไขก่อน
อีก 450 รายการยังไม่มีใครโจมตี → แก้ไขทีหลัง
ผลลัพธ์: ใช้ทรัพยากรน้อยลง แต่ป้องกันได้มากขึ้น
3. ตอบสนองเหตุการณ์เร็วขึ้น
ไม่มี CTI:
เจอการโจมตีแปลกๆ → ต้องใช้เวลาสืบสวน → เสียเวลา 2-3 วัน
มี CTI:
เจอการโจมตี → CTI บอกว่าเป็นเทคนิคของกลุ่ม X → ใช้วิธีป้องกันที่รู้อยู่แล้ว → แก้ไขได้ภายใน 2-3 ชั่วโมง
4. ประหยัดงบประมาณ
ค่าใช้จ่ายการถูกโจมตี:
ระบบหยุดทำงาน: 5 ล้านบาท/วัน
ซ่อมแซมระบบ: 2 ล้านบาท
ค่าเสียชื่อเสียง: ประเมินไม่ได้
ผลตอบแทน: ป้องกันการโจมตีได้แค่ 1-2 ครั้ง คุ้มค่าแล้ว
5. ช่วยทุกหน่วยงาน ไม่ใช่แค่ IT
ตัวอย่างการใช้ CTI ในหน่วยงานต่างๆ:
ฝ่ายการตลาด: ได้รู้ว่ามีบัญชี Facebook ปลอมแอบอ้างแบรนด์ → รีบลบก่อนลูกค้าถูกหลอก
ฝ่าย HR: พบรหัสผ่านพนักงานรั่วไหลใน Dark Web → บังคับเปลี่ยนรหัสผ่าน
ฝ่ายกฎหมาย: รู้ว่ามีการละเมิดข้อตกลงจากพันธมิตร → ดำเนินการตามกฎหมาย
ผู้บริหาร: เห็นภาพรวมความเสี่ยง → จัดสรรงบประมาณได้เหมาะสม
เริ่มต้นใช้ CTI ง่ายๆ ใน 4 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1: กำหนดความต้องการ
ตอบคำถาม:
ธุรกิจเรามีข้อมูลอะไรที่สำคัญ?
ถ้าระบบหยุดทำงาน จะเสียหายเท่าไหร่?
กังวลเรื่องอะไรมากที่สุด? (ข้อมูลรั่วไหล, ระบบล่ม, ชื่อเสียงเสียหาย)
ขั้นที่ 2: เลือกแหล่งข้อมูล
เริ่มจากแหล่งฟรีก่อน:
CISA Known Exploited Vulnerabilities
ข่าวสารในอุตสาหกรรม
การแจ้งเตือนจาก vendor ที่ใช้อยู่
ถ้างบพอ พิจารณา:
CTI platform เชิงพาณิชย์
Dark Web monitoring
บริการ threat intelligence feed
ขั้นที่ 3: สร้างทีมหรือใช้ที่ปรึกษา
SMEs: ใช้ที่ปรึกษาภายนอก (คุ้มค่ากว่าจ้างคนเต็มเวลา) องค์กรใหญ่: สร้างทีม CTI ภายใน 2-5 คน
ขั้นที่ 4: วัดผลและปรับปรุง
ติดตามตัวชี้วัด:
ป้องกันการโจมตีได้กี่ครั้ง?
ลดเวลาแก้ไขปัญหาได้เท่าไหร่?
ทีมงานใช้ข้อมูลจริงหรือไม่?
ALPHASEC - พันธมิตรสำหรับผู้เริ่มต้น CTI
เข้าใจว่าการเริ่มต้นใช้ CTI อาจดูซับซ้อน ALPHASEC พร้อมช่วยให้คุณเริ่มต้นได้ง่ายๆ
3 เหตุผลที่ควรเริ่มวันนี้:
ผู้โจมตีไม่รอ - ทุกวันที่ยังไม่มี CTI คือวันที่มีความเสี่ยง
เริ่มต้นไม่ยากอย่างที่คิด - เรามี package สำหรับผู้เริ่มต้น
ฟรีคำปรึกษา - ไม่เสียอะไรแค่ถามข้อมูล
"การป้องกันที่ดีที่สุด คือการรู้ก่อนว่าอันตรายมาจากทิศทางไหน - นั่นคือพลังของ CTI"
บทความนี้จัดทำโดย ALPHASEC - ผู้เชี่ยวชาญด้าน Cybersecurity Consulting และ Threat Intelligence สำหรับองค์กรไทยและเอเชียแปซิฟิก
#CyberthreatIntelligence #CTI #มือใหม่เรียนรู้ไซเบอร์ #ALPHASEC #ความปลอดภัยไซเบอร์



